ดุสิตธานีเผยโฉมใหม่ 27 กันยายนนี้ โชว์ความอลัง Tree of Life แนวทางสร้างความยั่งยืน 4 ระดับ ครอบคลุม ESG ผ่านการจินตนาการและตีความที่น่าประทับใจ พร้อมสวนสาธารณะลอยฟ้าขนาด 7 ไร่ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ เพื่อเป็นหมุดหมาย ที่ชาวไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องมาเยือน
ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า 27 กันยายน 2567 นี้ ดุสิตธานีโรงแรมห้าดาวระดับลักชัวรีโฉมใหม่ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โชว์ความเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ และประเทศไทย ที่ได้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ และนักท่องเที่ยวจาก ทั่วโลกมากว่า 50 ปี โดยผ่านการ Reimagined หรือการตีความอัตลักษณ์ดุสิตธานีภายใต้ภาพลักษณ์ใหม่ พร้อมสร้างเรื่องราวบทใหม่ในฐานะ “หมุดหมายกรุงเทพฯ”
ควบคู่เป้าหมายสู่ความยั่งยืนตามกรอบสหประชาชาติ 2030 ภายใต้โปรแกรม “Tree of Life” แนวทางสร้างความยั่งยืน 4 ระดับ ภายใต้เกณฑ์พัฒนา 31 ข้อ ที่ครอบคลุมทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยโปรแกรมนี้ถูกนำมาใช้กับทุกกลุ่มธุรกิจภายใต้การบริหารของกลุ่มดุสิตธานี โดยเริ่มจากโรงแรมและรีสอร์ท 54 แห่งที่กระจายอยู่ใน 19 ประเทศทั่วโลก รวมทั้ง “ดุสิตธานี กรุงเทพฯ”
“ใบไม้แห่งทรี ออฟ ไลฟ์” เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการผ่านมาตรฐานในระดับต่างๆ หวังตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการให้บริการที่มีส่วนร่วมสร้างความยั่งยืนให้กับโลก พร้อมส่งต่อการมีส่วนร่วมและความภาคภูมิใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งลูกค้า พนักงาน คู่ค้า ผู้ถือหุ้นและชุมชน
ศุภจี กล่าวถึงความท้าทายในการ ปรับโฉมโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์ในรูปลักษณ์ใหม่ ภายใต้แนวคิด An Icon Reimagined ว่า “จาก 50 ปีก่อนถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย การที่เราจะทําให้โรงแรมกลับมายิ่งใหญ่ได้เหมือนเดิมในบริบทของยุคใหม่ จะต้องมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ได้มาตรฐานที่ดีขึ้น โดยยังเก็บความเป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมไว้ แล้วเพิ่มอินโนเวชั่น เติมความนําสมัยเข้าไป ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการคงคุณค่าความเป็นดุสิตธานี กรุงเทพ เพื่อให้เป็นโรงแรมของคนไทยที่ดีที่สุด ที่เป็นความภูมิใจร่วมกันของชาวกรุงเทพฯ และชาวไทย
จึงเป็นบทสรุปในการนำเสนอมุมมองใหม่ภายใต้แนวคิด An Icon Reimagined หรือการปรับโฉมสู่การกลับมาของหมุดหมายกรุงเทพฯ ที่จะปรากฏโฉมให้โลกได้เห็นถึงการเป็นโรงแรม ขนาดใหญ่ที่เป็นไอคอนิกและเป็นตำนานโรงแรมของไทย ซึ่งจะสะท้อนเห็นถึงสิ่งที่ทำให้ ‘ดุสิตธานี’ สามารถยืนหยัดอยู่ได้และครองใจผู้ใช้บริการมาได้อย่างยาวนาน
ทั้งความใส่ใจและการเก็บทุกรายละเอียดของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งเดิมไว้ เพื่อนำมาผสมผสานอย่างกลมกลืนกับโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่ ที่ไม่ใช่เฉพาะเพียงรูปลักษณ์ การออกแบบ แต่ยังหมายถึงการต้อนรับอย่างอบอุ่น และการให้บริการด้วยมาตรฐานดุสิตธานี ซึ่งเป็นแบรนด์ไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ที่มุ่งมั่นนำเสนอความเป็นไทย ทั้งศิลปะ วัฒนธรรมและเสน่ห์แบบไทย ที่สอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และความต้องการอันหลากหลายของลูกค้า ทั้งยังตอบโจทย์ความยั่งยืนทางธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีไปพร้อมกัน
อาจจะกล่าวได้ว่า โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เปรียบเสมือน “งานฝีมือ” ที่ทุกคนบรรจงออกแบบ และให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียด เพื่อให้ผู้คนที่มาเยือนได้รับความรู้สึกสะดวกสบาย รวมถึงรู้สึกมีส่วนร่วมไปกับเรื่องราวของโรงแรม โดยยังคงเก็บรักษาความเป็นดุสิตธานีให้ปรากฏในส่วนต่าง ๆ ของโรงแรม ผ่านการตีความใหม่ให้มีความร่วมสมัยเข้ากับผู้คนในยุคปัจจุบัน และสอดคล้องกับความต้องการของนักเดินทาง
โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่ เป็นโครงสร้างอาคารสูงสีทองขนาด 39 ชั้น ประกอบไปด้วยห้องพักสุดหรู ตั้งแต่ห้องดีลักซ์ จนถึงห้องสวีท รวมจำนวน 257 ห้อง โดยทุกห้องสะท้อนความเรียบหรู โอ่อ่า กว้างขวาง ผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างเอกลักษณ์ของความเป็นไทย กับความสากลทันสมัยที่ตอบโจทย์การใช้งานของนักเดินทางในยุคใหม่ ด้วยพื้นที่ห้องพักมาตรฐานขนาดเริ่มต้นที่ 50 ตรม. ขึ้นไป ซึ่งการออกแบบภายในนี้ถูกรังสรรค์อย่างประณีต จาก André Fu Studio สตูดิโอออกแบบตกแต่งภายในชั้นนำของเอเชียที่ได้รับการยกย่องในระดับสากล และสตูดิโอออกแบบภายในชั้นนำของไทยที่โด่งดังระดับแถวหน้าในเอเชียอย่าง P49DEESIGN AND ASSOCIATES มาช่วยดูแลชั้นพิเศษที่เรียกว่า Heritage Floor ให้อีกด้วย
ณัฐภาณุ์ ศรียุกต์สิริ กรรมการผู้จัดการ ดุสิต เอสเตท และรองประธานฝ่ายกลยุทธ์การออกแบบและงานครีเอทีฟ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการ Reimagined ดุสิตธานีโฉมใหม่ ว่า ความท้าทายในการออกแบบโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ อยู่ที่การรักษาแบรนด์และความเป็นตัวตนของดุสิตธานี ที่ต้องมาพร้อมกับรูปโฉมใหม่ ขณะเดียวกัน ลูกค้าต้องสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ความจริงใจ ซึ่งมิได้จำกัดเฉพาะการให้บริการ แต่ยังหมายถึงก้าวแรกที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ทันทีเมื่อก้าวเข้ามาในโรงแรม ทำให้การออกแบบต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด ทั้งการเก็บรักษาชิ้นงานเก่า และการสร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชิ้นงานเก่า เพื่อตีโจทย์จากอดีตให้กลายเป็นปัจจุบันและเชื่อมโยงไปสู่อนาคต เป็นความกลมกลืนของช่วงเวลา ที่เชื่อว่า ทุกคนสามารถสัมผัสได้ในทุกพื้นที่ของโรงแรมแห่งนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าทุกคนของดุสิตธานี
“อีกทั้งด้วยความที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ มีสถานะเป็น Flagship hotel หรือต้นแบบของโรงแรมของกลุ่มดุสิตธานีทั่วโลก ดังนั้นการออกแบบโรงแรมจึงต้องเข้ากับเทรนด์การใช้งานของนักท่องเที่ยว นักเดินทางในยุคปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเราต้องการทำให้ลูกค้าได้สัมผัสความรู้สึกพิเศษตั้งแต่ก้าวเข้าโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งที่สะท้อนคาแรกเตอร์ของเมือง เพื่อให้เป็นสถานที่ที่สร้างความทรงจำที่ดีสำหรับแขก โดยทุกพื้นที่จะมีความสวยงาม ไม่มีมุมอับหรือถูกบดบัง รวมทั้งมีผนัง ที่เป็นมากกว่ากำแพงกั้นธรรมดา
ในขณะเดียวกัน โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เดิม ยังเต็มไปด้วยเรื่องราว และความผูกพัน ในฐานะการเป็นโรงแรม ห้าดาวแห่งแรก ๆ ของกรุงเทพมหานคร ดังนั้นการการออกแบบตกแต่งยังต้องสะท้อนเรื่องราวและประวัติศาสตร์ความเป็น ดุสิตธานีที่ทุกคนคุ้นเคยให้มากที่สุด ซึ่งการตีความโจทย์นี้ เราเลือกที่จะมองโรงแรมดุสิตธานีเดิม ผ่านมุมมองใหม่ ๆ ทีมงานมีการเก็บข้อมูลศึกษารูปแบบ หรือแพทเทิร์นดีไซน์ของเดิม โดยนำจุดเด่นเหล่านั้นมาประยุกต์ ดัดแปลง ให้กลายเป็นชิ้นงาน ใหม่ ๆ ที่นำเสนอความเป็นไทยที่มีความร่วมสมัยเหนือกาลเวลาในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ชั้นล่างสุดไปจนถึงยอดตึก
เช่น การใช้โทนสีแบบไทย หรือ Thai Tone เพื่อส่งมอบความอบอุ่นสบายให้กับแขก หรือเน้นการใช้สีเขียว เพื่อสะท้อนจุดที่ตั้งของโรงแรมที่อยู่ตรงข้ามสวนลุมพินี ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพ หรือแม้แต่ลวดลายและเส้นสายแพทเทิร์นชิ้นงานประดับ หรือการตกแต่งผนังที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “เส้นสินเทา” เส้นแบ่งระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์ที่พบในงานจิตรกรรมฝาผนังของไทย ถูกนำมาใช้ เพื่อสะท้อนความเป็นสวรรค์บนดิน ให้สมกับชื่อของดุสิตธานี นอกจากนี้ยังนำชิ้นงานอนุรักษ์ที่โดดเด่นของโรงแรมเดิม กลับมาตกแต่งโรงแรมใหม่ในที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ หรืองานจิตรกรรมเสาและกำแพง ซึ่งเป็นผลงาน ของศิลปินแห่งชาติ “ท่านกูฎ” ไพบูลย์ สุวรรณกูฎจากห้องอาหารเบญจรงค์ ขณะเดียวกัน เราก็ยังทำงานร่วมกับศิลปินไทย รุ่นใหม่ ๆ เพื่อนำเสนอชิ้นงานศิลปะตกแต่งที่สะท้อนคุณค่า ‘งานฝีมือของคนไทย’ ด้วยเทคนิคที่มีความทันสมัยและเป็นสากลเช่นกัน
โครงสร้างอาคารของโรงแรมดุสิตธานี เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่นสะดุดตา มีการเชื่อมโยงผังพื้นที่ต่างๆ อย่างลงตัวและมีระดับ ได้รับการออกแบบโดยสองบริษัทสถาปนิกชั้นนำ ได้แก่ บริษัทสถาปนิก 49 (A49) หนึ่งในบริษัทสถาปนิกที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดของประเทศไทยและ OMA Asia Hong Kong Limited สาขาของบริษัทสถาปนิกชั้นนำระดับโลก OMA (Office for Metropolitan Architecture) ที่โด่งดังในการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง เช่น การวางผังโถงทางเดินส่วนตัวหน้าห้อง (Single Corridor) ที่ทำให้ห้องพักทุกห้องสามารถมองเห็นความร่มรื่นของสวนลุมพินีได้อย่างเต็มตาผ่านช่องหน้าต่างที่เป็นกระจกบานใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดาน ให้ลูกค้าได้ชื่นชมธรรมชาติอันแสนสงบจากภายในห้องพักที่หรูหราทันสมัยได้อย่างลงตัว
ด้าน สมเกียรติ โล่ห์จินดาพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) ผู้มีส่วนสำคัญในการดูแลงานออกแบบตกแต่ง กล่าวถึงการพัฒนาโจทย์ที่ได้รับ ตลอดจนการวางคอนเซปต์ในการออกแบบ ว่า ประวัติศาสตร์ เป็นโจทย์สำคัญของโรงแรมดุสิตธานีในฐานะโรงแรมแห่งแรกของกรุงเทพฯ ที่ก่อตั้งมายาวนานกว่า 50 ปี ซึ่งตอนนี้เราก็กำลังจะสร้างโรงแรมดุสิตธานี ในฐานะไอคอนิกแห่งอนาคตของกรุงเทพฯ ที่จะยังคงอยู่ไปอีก 50 ปีข้างหน้าเช่นกัน
ดุสิตธานี รูปโฉมใหม่ ได้รับการออกแบบให้เชื่อมต่อโรงแรมเข้ากับบริบทของเมือง เพื่อสร้างบทสนทนาใหม่ ๆ และสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับเมือง ท้องถนน และผู้คน ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นเมืองในยุคสมัยใหม่ อย่างอาคารสมัยก่อนค่อนข้างรั้วรอบขอบชิด ส่วนอาคารสมัยใหม่จะมีความเชื่อมโยงกับผู้คนและเมืองมากขึ้น รวมทั้งสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้คน อย่างบริเวณรูฟ พาร์ค ของโครงการที่สร้างเป็นสวนสาธารณะลอยฟ้าขนาด 7 ไร่ ที่นอกจากเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ แล้ว ยังตอบสนองการใช้ชีวิตของคนเมืองที่ต้องการใกล้ชิดกับธรรมชาติอีกด้วย
สมเกียรติ ยังได้เล่าถึงการแบ่งฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของอาคาร ให้มีความสอดคล้องกับกับเทรนด์ในยุคปัจจุบัน และในอนาคต ในขณะที่ต้องคงคาแรกเตอร์เดิมไว้ ว่า นอกจากรูปร่างของตัวอาคารที่เปลี่ยนแปลงจากรูปทรงสามเหลี่ยม เป็นสี่เหลี่ยมที่มีความสูงถึง 39 ชั้นแล้ว การออกแบบฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของอาคาร ก็ต้องเข้ากับเทรนด์สมัยใหม่ ทั้งขนาดของห้องพักที่กว้างขวางขึ้น พร้อมเปิดรับวิวพานอรามิกของสวนลุมพินีอย่างเต็มที่ผ่านกรอบหน้าต่างสีทอง ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ที่สำคัญของห้องพักรูปลักษณ์ใหม่ รวมถึงรูฟท็อปบาร์และสกายล็อบบี้ที่จะได้สัมผัสวิวเมืองที่สวยงาม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงกลิ่นอายดั้งเดิมและจิตวิญญาณของดุสิตธานีใน 50 ปีก่อนไว้ได้อย่างลงตัว เช่น ยอดเสาสีทอง น้ำตก 9 ชั้น สวนเมืองร้อน ตลอดจนงานจิตรกรรมไทยต่าง ๆ ที่อนุรักษ์ไว้ เพื่อสานต่อเรื่องราวในอดีต ในบรรยากาศที่คุ้นเคยของแฟนดุสิตธานีด้วยนั่นเอง