เอสซีจี ปูพรม “4 กลยุทธ์” สู้ศึกสงครามการค้าโลก

admin
0 0

Sharing is caring!

Read Time:4 Minute, 25 Second

เอสซีจี ประกาศ 4 กลยุทธ์ เดินหน้าธุรกิจยุคสงครามการค้าโลกระอุ “ลดต้นทุน -ขยายพอร์ตสินค้าราคาจับต้องได้ – บุกตลาดใหม่ – สร้างความได้เปรียบจากฐานการผลิตหลากหลาย” เผยครึ่งปีหลังยังต้องระวังตัวหนัก

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายจากสงครามการค้าโลกที่รุนแรงและยืดเยื้อ โดยเอสซีจีเร่งปรับตัวด้วย 4 กลยุทธ์หลัก พร้อมขยายพอร์ตสินค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้บริโภค ทั้งสินค้ามูลค่าสูง สินค้ากรีน และสินค้า “คุณภาพ ราคาจับต้องได้” เพื่อเสริมความยืดหยุ่นและความสามารถในการแข่งขัน

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี

4 กลยุทธ์สู้ศึกเศรษฐกิจโลก

  1. ลดต้นทุน แข่งขันระดับโลก
    เอสซีจีนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น หุ่นยนต์ในกระบวนการผลิตสุขภัณฑ์ COTTO และบ้านโมดูลาร์ SCG ไฮม์ รวมถึงการใช้ AI ในงานจัดซื้อ คาดการณ์ความเสียหายเครื่องจักร และบริหารพลังงานสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไตรมาส 1/2568 ลดหนี้สินสุทธิลงเหลือ 290,504 ล้านบาท และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกในการผลิตปูนซีเมนต์ในไทยสูงถึง 44%
  2. ขยายพอร์ตสินค้า ครอบคลุมทุกระดับตลาด
    มุ่งพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้ากรีน เช่น ปูนคาร์บอนต่ำ Gen 3, กระเบื้องเกรซพอร์ซเลน, กลุ่มหลังคาและผนังดิจิทัล รวมถึงบรรจุภัณฑ์ทางการแพทย์ โดยจับมือกับ Once Medical
    พร้อมกันนี้ เอสซีจียังเร่งเติมพอร์ต “สินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้” ซึ่งเป็นที่ต้องการสูง เช่น SCG Solar Roof หลายแพ็กเกจ, กระเบื้องปูพื้นคอนกรีต SCG ดีไซน์หลากหลาย, ท่อ PVC สำหรับเกษตรกร และหลังคาเซรามิก SCG รุ่น Celica Curve
  3. บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง
    เอสซีจีขยายการส่งออกสินค้าหลัก เช่น ปูนคาร์บอนต่ำ กระดาษบรรจุภัณฑ์ และสมาร์ทบอร์ด ไปยังตลาดที่ได้รับผลบวกจากสงครามการค้า โดยใช้เครือข่ายธุรกิจในต่างประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  4. ใช้ฐานการผลิตหลากหลาย เพิ่มความได้เปรียบในการส่งออก
    เอสซีจีใช้ฐานการผลิตในอาเซียน เช่น ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เพื่อสลับการส่งออกตามอัตราภาษีนำเข้าในแต่ละประเทศ เช่น สหรัฐฯ ซึ่งเอสซีจีมีสัดส่วนส่งออกเพียง 1% ทำให้ได้รับผลกระทบทางตรงต่ำ และสามารถปรับแผนการผลิตได้ยืดหยุ่น

สินค้าที่ราคาจับต้องได้ เรื่องของคุณภาพไม่ลดน้อยลงแน่นอน ยกตัวอย่าง หลังคาโซล่าเซลล์ เรารับประกับ 15 ปี เราดูแล มีปัญหาแก้ไขให้ได้ ในขณะที่สินค้าจีนประกัน 30 ปี แต่เมื่อมีปัญหาอาจหาคนขายไม่เจอแล้วก็ได้

การออกแบบของสินค้าคุณภาพ ต้องตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยบาลานซ์กับราคาที่เหมาะสม จับต้องได้ เพราะด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน คนต้องการสินค้าที่คุ้มค่าคุ้มราคามากขึ้น โดยเอสซีจีจะผลักดันสินค้าในกลุ่มนี้ออกมากขึ้นเรื่อยๆ ในตลาด

ทุกธุรกิจในเครือปรับตัวดีขึ้น

  • ธุรกิจซีเมนต์และก่อสร้าง ฟื้นตัวตามฤดูกาลและงบประมาณรัฐ
  • เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ลดต้นทุนและปรับพอร์ตสินค้า เตรียมพร้อมเดินเครื่องโครงการ LSP ในเวียดนามเมื่อเหมาะสม
  • เอสซีจีพี (SCGP) แข็งแกร่งจากบรรจุภัณฑ์ผู้บริโภค พร้อมขยายผลิตภัณฑ์กรีนและดิจิทัลโซลูชัน

รับมือความไม่แน่นอน ด้วยความร่วมมือและโครงการสร้างความเข้มแข็ง

แม้ IMF ปรับลดคาดการณ์ GDP โลกเหลือ 2.8% และไทยเหลือ 1.8% จากผลกระทบสงครามการค้าโลก แต่เอสซีจีเชื่อมั่นว่าจะผ่านพ้นได้ด้วยการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ผสานมาตรการบริหารต้นทุน การจัดการเงินทุนหมุนเวียนอย่างรอบคอบ อีกทั้งการเตรียมพร้อมเรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นให้เป็น และการเตรียมรับโอกาสจากราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลง รวมถึงการขยายสินค้ามูลค่าเพิ่มสูงและราคาจับต้องได้ให้ตอบโจทย์ตลาดมากขึ้น

นอกจากนี้ เอสซีจียังเดินหน้าโครงการ “Go Together” เพื่อถ่ายทอดความรู้ เสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการ SME รับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยจะครบเป้าหมายเฟสแรก 1,200 คนในเดือนพฤษภาคมนี้ และมีผู้เข้าร่วมโครงการ “NZAP” แล้ว 106 ราย สะท้อนถึงการเดินหน้าสร้างความร่วมมือเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

ส่วนด้านผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2568 เอสซีจีดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 1,099 ล้านบาท และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) 12,889 ล้านบาท สะท้อนถึงการฟื้นตัวของทุกกลุ่มธุรกิจ

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยตั้งแต่โควิดเราฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่ด้วยผลกระทบจากสงครามการค้า เหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ไทยต้องปรับตัวอย่างมาก การประสานระหว่างภาครัฐและเอกชน ต้องสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและการดำเนินธุรกิจ ต้องรู้ว่าจุดไหนต้องแก้ไข เจรจา และเยียวยา เราต้องปรับตัวไว

เป้าหมาย Net Zero และการทำ “Inclusive Green Growth” เป็นสิ่งที่เอสซีจียังเดินหน้าต่อเนื่อง เพราะการทำ “Inclusive Green Growth” เป็นการปรับเดินหน้าในรูปแบบที่สินค้าเอสซีจีสามารถแข่งขันในตลาดได้ ขณะเดียวกันในหลายๆ ประเทศมีความต้องการสินค้าโลว์คาร์บอนมากขึ้น มันเป็นจุดที่สร้างความแตกต่าง และสินค้าก็ยังคงขายได้ เช่น ปูนคาร์บอนต่ำที่สหรัฐอเมริกา ยังขายดีต่อเนื่อง เอสซีจีจึงเดินหน้าเป้าหมายธุรกิจที่ยั่งยืนพร้อมพาซัพพลายเออร์เติบโตไปด้วยกัน

Happy
Happy
0 %
Sad
Sad
0 %
Excited
Excited
0 %
Sleepy
Sleepy
0 %
Angry
Angry
0 %
Surprise
Surprise
0 %

Average Rating

5 Star
0%
4 Star
0%
3 Star
0%
2 Star
0%
1 Star
0%

Leave a Reply

Next Post

DOS LIFE ปักแนวคิด “นวัตกรรมรักษ์โลก เพื่ออนาคต” พัฒนาเทคโนโลยี-ผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม

DOS LIFE เปิดตัว “DOS MISSION TOWARDS NET ZERO” ปักหมุดองค์กรผู้นำด้านความยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมรักษ์โลก “DOS GREEN INNOVATION” พัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

You May Like