เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เร่งเครื่องสู่เศรษฐกิจสีเขียว

admin
0 0

Sharing is caring!

Read Time:3 Minute, 11 Second

SEA เร่งเครื่องสู่เศรษฐกิจสีเขียว แนวทางเชิงระบบดัน GDP โต 120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดคาร์บอน 50% ภายในปี 2030

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) กำลังยกระดับแนวทางพัฒนา เศรษฐกิจสีเขียว ด้วยวิธีคิดแบบ “systems-based approach” หรือแนวทางเชิงระบบ ที่ช่วยปลดล็อกการเติบโตอย่างยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรับมือความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากรายงาน “เศรษฐกิจสีเขียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ฉบับที่ 6 ซึ่งจัดทำโดย Bain & Company ร่วมกับ GenZero, Google, Standard Chartered และ Temasek ชี้ว่า หากกลุ่มประเทศ SEA-6 (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม) ปรับใช้แนวทางนี้อย่างจริงจัง จะสามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง 120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สร้างงานใหม่ 900,000 ตำแหน่ง และลดช่องว่างการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 50% ภายในปี 2030

ไทยกับบทบาทในเศรษฐกิจสีเขียว

ประเทศไทย แสดงจุดยืนชัดเจนในการเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจสีเขียว ด้วยเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 และลดคาร์บอนลง 30% ภายในปี 2030 โดยมีนโยบายสำคัญ เช่น:

  • ภาษีคาร์บอนสำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
  • การรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบภาคบังคับ
  • การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จ EV กว่า 2,600 สถานี

ในปี 2024 การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมจากภาคเอกชนในไทยมีมูลค่ารวม 355 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4% ของการลงทุนในกลุ่ม SEA-6 โดยเน้นที่ ซีเมนต์สีเขียว และ โซลาร์รูฟท็อป

ทำไม SEA ต้องคิดใหม่แบบ “เชิงระบบ”

แนวทางเชิงระบบเสนอให้ SEA มองเศรษฐกิจสีเขียวเป็น “ระบบเชื่อมโยง” ไม่ใช่แค่การลดคาร์บอนจุดใดจุดหนึ่ง แต่เป็นการ:

  • แก้ปัญหาต้นตอที่ทำให้ปล่อยคาร์บอนซ้ำซาก
  • เลือกโซลูชันที่ขยายผลได้กว้าง
  • สร้างการเปลี่ยนแปลงแบบยั่งยืนทั้งระบบ

Dale Hardcastle จาก Bain & Company ชี้ว่า ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจไม่ควรเป็นอุปสรรค หากประเทศต่างๆ ใช้แนวทางระบบ จะสามารถ “เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส” ได้จริง

3 โซลูชันเชิงระบบ ที่ SEA ต้องเร่งเดินหน้า

1. เศรษฐกิจชีวภาพเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bioeconomy)

ภาคเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ยังปล่อยคาร์บอนสูง คิดเป็น 30% ของการปล่อยใน SEA-6 การปฏิรูประบบ เช่น ปรับสิทธิในที่ดิน พัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และสนับสนุนตลาดคาร์บอน จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้ภาคเกษตรและลดคาร์บอนได้พร้อมกัน

2. โครงข่ายไฟฟ้ารุ่นใหม่ (Next-Gen Grid)

การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าที่ยืดหยุ่น รองรับพลังงานหมุนเวียน และมีการเชื่อมโยงข้ามพรมแดน จะช่วยลดต้นทุนคาร์บอนได้ถึง 11% ภายในปี 2050 และเพิ่มโอกาสการลงทุนใน Green Industrial Clusters

3. ระบบนิเวศ EV (EV Ecosystem)

แม้ความต้องการเดินทางจะเพิ่มขึ้น แต่ SEA ยังพึ่งพายานยนต์แบบดั้งเดิมกว่า 80% การเร่งพัฒนา EV ทั้งระบบ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน โรงงานผลิต แบตเตอรี่ ไปจนถึงแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้ EV จะช่วย SEA ลดคาร์บอนได้มหาศาล

ทางรอดอยู่ที่ “การร่วมมือระดับภูมิภาค”

รายงานเน้นว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศใน เอเชียแปซิฟิก (APAC) คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น:

  • ความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน
  • ข้อตกลงทางการค้าสีเขียว
  • การลงทุนข้ามพรมแดนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว
  • การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านความยั่งยืน

Franziska Zimmermann จาก Temasek ย้ำว่า เวลาของ SEA กำลังจะหมด เราต้องเร่งลงทุนและลงมือจริงในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

SEA จะ “โตแบบเขียว” ได้ ต้องคิดเป็นระบบ และเดินไปด้วยกัน

การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวของ SEA จะไม่ใช่แค่เป้าหมายในอุดมคติอีกต่อไป หากผู้นำประเทศ บริษัทเอกชน และนักลงทุน ร่วมกันผลักดันแนวทางเชิงระบบอย่างจริงจัง SEA มีศักยภาพในการเป็นผู้นำเศรษฐกิจสีเขียวระดับโลกได้อย่างแท้จริง

Happy
Happy
0 %
Sad
Sad
0 %
Excited
Excited
0 %
Sleepy
Sleepy
0 %
Angry
Angry
0 %
Surprise
Surprise
0 %

Average Rating

5 Star
0%
4 Star
0%
3 Star
0%
2 Star
0%
1 Star
0%

Leave a Reply

Next Post

เฟดเอ็กซ์ เดินหน้าโครงการน้ำสะอาดจากพลังงานแสงอาทิตย์ ชุมชนป่าเด็ง

เฟดเอ็กซ์ เติมพลังยั่งยืนให้ชุมชนป่าเด็ง เดินหน้าโครงการน้ำสะอาดจากพลังงานแสงอาทิตย์ ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ – ระบบกรองน้ำ – ส่งเสริมสุขอนามัยยั่งยืนในพื้นที่ชนบทเพชรบุรี

You May Like