SEA เร่งเครื่องสู่เศรษฐกิจสีเขียว แนวทางเชิงระบบดัน GDP โต 120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดคาร์บอน 50% ภายในปี 2030
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) กำลังยกระดับแนวทางพัฒนา เศรษฐกิจสีเขียว ด้วยวิธีคิดแบบ “systems-based approach” หรือแนวทางเชิงระบบ ที่ช่วยปลดล็อกการเติบโตอย่างยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรับมือความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากรายงาน “เศรษฐกิจสีเขียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ฉบับที่ 6 ซึ่งจัดทำโดย Bain & Company ร่วมกับ GenZero, Google, Standard Chartered และ Temasek ชี้ว่า หากกลุ่มประเทศ SEA-6 (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม) ปรับใช้แนวทางนี้อย่างจริงจัง จะสามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง 120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สร้างงานใหม่ 900,000 ตำแหน่ง และลดช่องว่างการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 50% ภายในปี 2030
ไทยกับบทบาทในเศรษฐกิจสีเขียว
ประเทศไทย แสดงจุดยืนชัดเจนในการเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจสีเขียว ด้วยเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 และลดคาร์บอนลง 30% ภายในปี 2030 โดยมีนโยบายสำคัญ เช่น:
- ภาษีคาร์บอนสำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
- การรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบภาคบังคับ
- การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จ EV กว่า 2,600 สถานี
ในปี 2024 การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมจากภาคเอกชนในไทยมีมูลค่ารวม 355 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4% ของการลงทุนในกลุ่ม SEA-6 โดยเน้นที่ ซีเมนต์สีเขียว และ โซลาร์รูฟท็อป
ทำไม SEA ต้องคิดใหม่แบบ “เชิงระบบ”
แนวทางเชิงระบบเสนอให้ SEA มองเศรษฐกิจสีเขียวเป็น “ระบบเชื่อมโยง” ไม่ใช่แค่การลดคาร์บอนจุดใดจุดหนึ่ง แต่เป็นการ:
- แก้ปัญหาต้นตอที่ทำให้ปล่อยคาร์บอนซ้ำซาก
- เลือกโซลูชันที่ขยายผลได้กว้าง
- สร้างการเปลี่ยนแปลงแบบยั่งยืนทั้งระบบ
Dale Hardcastle จาก Bain & Company ชี้ว่า ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจไม่ควรเป็นอุปสรรค หากประเทศต่างๆ ใช้แนวทางระบบ จะสามารถ “เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส” ได้จริง

3 โซลูชันเชิงระบบ ที่ SEA ต้องเร่งเดินหน้า
1. เศรษฐกิจชีวภาพเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bioeconomy)
ภาคเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ยังปล่อยคาร์บอนสูง คิดเป็น 30% ของการปล่อยใน SEA-6 การปฏิรูประบบ เช่น ปรับสิทธิในที่ดิน พัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และสนับสนุนตลาดคาร์บอน จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้ภาคเกษตรและลดคาร์บอนได้พร้อมกัน
2. โครงข่ายไฟฟ้ารุ่นใหม่ (Next-Gen Grid)
การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าที่ยืดหยุ่น รองรับพลังงานหมุนเวียน และมีการเชื่อมโยงข้ามพรมแดน จะช่วยลดต้นทุนคาร์บอนได้ถึง 11% ภายในปี 2050 และเพิ่มโอกาสการลงทุนใน Green Industrial Clusters
3. ระบบนิเวศ EV (EV Ecosystem)
แม้ความต้องการเดินทางจะเพิ่มขึ้น แต่ SEA ยังพึ่งพายานยนต์แบบดั้งเดิมกว่า 80% การเร่งพัฒนา EV ทั้งระบบ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน โรงงานผลิต แบตเตอรี่ ไปจนถึงแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้ EV จะช่วย SEA ลดคาร์บอนได้มหาศาล
ทางรอดอยู่ที่ “การร่วมมือระดับภูมิภาค”
รายงานเน้นว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศใน เอเชียแปซิฟิก (APAC) คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น:
- ความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน
- ข้อตกลงทางการค้าสีเขียว
- การลงทุนข้ามพรมแดนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว
- การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านความยั่งยืน
Franziska Zimmermann จาก Temasek ย้ำว่า เวลาของ SEA กำลังจะหมด เราต้องเร่งลงทุนและลงมือจริงในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

SEA จะ “โตแบบเขียว” ได้ ต้องคิดเป็นระบบ และเดินไปด้วยกัน
การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวของ SEA จะไม่ใช่แค่เป้าหมายในอุดมคติอีกต่อไป หากผู้นำประเทศ บริษัทเอกชน และนักลงทุน ร่วมกันผลักดันแนวทางเชิงระบบอย่างจริงจัง SEA มีศักยภาพในการเป็นผู้นำเศรษฐกิจสีเขียวระดับโลกได้อย่างแท้จริง