เอสซีจี ร่วมระดมสมอง สร้างความร่วมมือเครือข่ายธุรกิจอาเซียน รุกนำ Circular Economy ตอบโจทย์การผลิต-ใช้-วนกลับ ในเวทีสัมมนา “SD Symposium 2019”
การประชุมสุดยอดธุรกิจและการลงทุนอาเซียน (ASEAN Business and Investment Summit หรือ ABIS) ซึ่งเป็นเวทีของภาคธุรกิจที่จัดควบคู่กับการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) โดยสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN Business Advisory Council หรือ ASEAN-BAC) ในปี 2562 นี้ มีผู้นำจากภาคธุรกิจชั้นนำทั้งในอาเซียนและประเทศอื่นๆ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และระดมสมอง หาแนวทางแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกันในภูมิภาค ผ่านหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจ คือ “Sustainable ASEAN 4.0 : Circular Economy” ซึ่งสอดคล้องกับยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญความท้าทาย ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้ได้ ภายใต้ทรัพยากรที่มีจำกัด แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) จึงกลายเป็นคำตอบของภาคธุรกิจที่มีการนำทรัพยากรกลับมาใช้ซ้ำอย่างคุ้มค่า ด้วยการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างประโยชน์อย่างสมดุล ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจมากว่า 106 ปี เอสซีจีมีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนอยู่ทั้งในแผนแม่บท และในทุกส่วนของการดำเนินธุรกิจ จนถือเป็นหนึ่งใน DNA ของพนักงาน อีกทั้งยังเข้าร่วมเป็นสมาชิกสภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (The World Business Council for Sustainable Development – WBCSD) และ Down Jones Sustainability Index (DJSI) มาอย่างยาวนาน
เอสซีจีได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาบรรจุอยู่ในแผนแม่บทของกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าแนวคิดนี้ จะเป็นทางออกที่ดีให้กับการแก้ไขปัญหาทรัพยากรของโลกที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนในเร็ววันได้
เอสซีจีมีโรงงานและสำนักงานกว่า 2,000 แห่งกระจายทั่วโลก มีหลักปฏิบัติที่เป็นต้นแบบ (Best Practice) ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งในอุตสาหกรรมเดียวกันและนอกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาขับเคลื่อนธุรกิจให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ด้วยการนำทรัพยากรที่ผลิตเป็นสินค้าต่างๆ ให้ลูกค้าใช้งานแล้ว วนกลับมาใช้เป็นทรัพยากรในการผลิตใหม่ โดยอาศัยการวางแผนบริหารจัดการของเสียที่ดีและความร่วมมือที่เข้มแข็งกับพันธมิตรคู่ค้า ลูกค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการเปลี่ยนระบบการผลิตจากเส้นตรง (Make-Use-Dispose) เป็นการหมุนเวียนกลับมาใช้ (Make-Use-Return) เช่น ความร่วมมือกับ ดาว ประเทศไทย ในการนำพลาสติกที่ใช้แล้ว เช่น ถุงพลาสติกและถุงใส่อาหารที่มาจากขยะในครัวเรือน มาบดผสมกับยางมะตอยเพื่อใช้ปูถนนในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงมีการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ในโรงงานด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการจัดเวทีสัมมนา “SD Symposium 2019” เพื่อให้ความรู้และแลกเปลี่ยนมุมมองด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อขยายขอบเขตความร่วมมือในการขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนไปสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศอย่างแท้จริง โดยในการประชุมได้มีการร่วมกันระดมสมองเพื่อกำหนดทิศทางการบริหารจัดการขยะในประเทศ และการบังคับใช้กฎหมายเพื่อช่วยผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในกระบวนการผลิต รวมถึงการเผยแพร่ความรู้เรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนไปสู่ภาคประชาชนเพื่อให้เกิดการตระหนักรู้และร่วมกันขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจัง
สิ่งสำคัญของการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศคงไม่สามารถทำได้โดยหน่วยงานเดียว จึงต้องสร้างการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ภาคธุรกิจทั้งในและนอกอุตสาหกรรม ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ตลอดจนภาครัฐ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลด้วย
“การขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนนั้น จะต้องมีการร่วมมือกันกับทุกภาคส่วนภายใต้การสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win) ต้องมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และร่วมมือกับภาครัฐในการกำกับดูแลเพื่อให้มาตรการต่าง ๆ มีผลบังคับใช้ได้ในชีวิตประวัน บนเป้าหมายที่จะทำให้ขยะในเมืองไทยเหลือ 0% (Zero Waste)” นายรุ่งโรจน์กล่าว
ส่วน ดร.วิจารย์ สิมาฉายา เลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) และผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) กล่าวถึงการร่วมขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนว่า องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นพันธมิตรกับเอสซีจีและองค์กรต่าง ๆ ในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการพัฒนายั่งยืนร่วมกันเช่นเดียวกับแนวทางของ WBCSD (World Business Council for Sustainable Development) ที่มุ่งผลักดันให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อนและปัญหาขยะที่ถือเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มีขยะพลาสติกมากถึง 2 ล้านตัน ติดอันดับ 6 ของประเทศที่มีขยะพลาสติกในมหาสมุทรมากที่สุด แต่ในจำนวนนี้มีการนำขยะมารีไซเคิลได้เพียง 30% จึงต้องมีการสร้างความร่วมมือ เพื่อทำให้เกิดการขยายพลังที่มากขึ้น
ด้าน ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (อีอีซี) กล่าวว่า พื้นที่ EEC ถือเป็นพื้นที่นำร่องและส่งเสริมด้านการบริหารจัดการให้สิทธิประโยชน์ด้านการพัฒนาส่งเสริมนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยวางเป้าหมายที่จะพัฒนาให้เป็นเมืองอัจฉริยะที่เป็นต้นแบบการบริหารจัดการขยะ และร่วมมือกับภาครัฐรวมถึงภาคธุรกิจในการบริหารจัดการขยะทั้งประเทศ โดยมีโครงการนำร่องที่ทางภาครัฐให้การสนับสนุน ที่บ้านฉาง สมาร์ทซิตี้ จ.ระยอง ซึ่งในชุมชนมีความร่วมมือกับภาคธุรกิจในการวางกฎระเบียบการจัดการขยะและนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม
นายเหงียน ฉวน วิงห์ เลขาธิการทั่วไป Vietnam Business Council for Sustainable Development (VBCSD) กล่าวว่า เวียดนามมีความตื่นตัวและร่วมมือกันในภาคธุรกิจเพื่อนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม เพราะต้องการให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต อีกทั้งยังเป็นแนวทางที่มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคธุรกิจอีกด้วย โดย VBCSD มีสมาชิกเครือข่ายภาคธุรกิจในเวียดนามหลายรายที่ได้ร่วมมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถเป็นต้นแบบให้กับองค์กรอื่น ๆ ได้ อาทิ เอสซีจี ดาว เคมิคอล และโคคา โคล่า
การขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยพลิกจากธุรกิจที่มีรูปแบบการบริหารจัดการอุตสาหกรรมแบบเดิมไปสู่การเป็นธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ จะต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการคิด (Mindset) ของทุกองค์กรให้มองเห็นภาพความสำเร็จของรูปแบบธุรกิจใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยีมาสร้างคุณค่า จึงจะนำไปสู่การออกแบบรูปแบบธุรกิจ การพัฒนาสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลาสติกชีวภาพ อีกทั้งยังควรมีความร่วมมือกับภาคธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างความต้องการให้เกิดการบริโภค และควรสร้างกระบวนการหมุนเวียนทรัพยากรโดยอาศัยการสร้างเครือข่ายการบริหารจัดการ ควบคู่ไปกับการร่วมมือกับชุมชนบริเวณใกล้เคียง เพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์ที่กว้างขวางมากขึ้น