ซีอีโอใหม่ KCG ทรานส์ฟอร์มองค์กรยั่งยืน สร้างระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

admin
0 0

Sharing is caring!

Read Time:5 Minute, 23 Second

ซีอีโอ ป้ายแดง KCG “ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล” ประกาศทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ความยั่งยืน ตั้งเป้าปี 67 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% สร้างการเติบโตที่มั่นคง ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่ ปั้นธุรกิจอาหารสไตล์ตะวันตก เนยและชีส รับโลกใหม่

ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้นำธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค เปิดเผยว่า ได้เข้ามารับหน้าที่แม่ทัพคนใหม่ของ KCG ด้วยแนวคิดที่จะพยายามปรับปรุงสิ่งที่ปรับได้ และส่งเสริมสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปอีก ด้วยวิสัยทัศน์ “Transition Towards Sustainable Growth สร้างองค์กรสู่การเติบโตที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมสู่อนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลง” ภายใต้งบลงทุนในปี 2567 ราว 400 ล้านบาท

การบริหารได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาใน 2 มิติ ผ่านแผนธุรกิจ 7 แกนหลัก ทรานส์ฟอร์มองค์กรขับเคลื่อนเทคโนโลยี ดึงคนรุ่นใหม่เสริมทัพ ยกระดับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและโซลูชั่นบริการใหม่ สร้างความรื่นรมย์ของรสชาติพร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ชู ‘KCG Logistics Park’ ศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบครบวงจรแห่งใหม่และทันสมัย รับแผนขยายกำลังผลิตเต็มอัตราและขยายขอบเขตธุรกิจใหม่ ยึดมั่นดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน

ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG

“เราเป็น Family Business ที่สนใจเรื่องธรรมาภิบาล ความยั่งยืน ดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อม ส่วนของสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ มีการบริหารจัดการขยะ ทำให้ลดปริมาณขยะลงได้ 40.39% สามารถนำขยะมารีไซเคิลได้ 4.88% ปัจจุบันมีบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมารีไซเคิลได้ 61% และยังติดตั้งโซล่าเซลล์ในโรงงานที่เทพารักษ์ ทำให้สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าเดิมลงได้ 8.3% และมีผพลังงานทดแทนเข้ามาใช้แล้ว 0.38%”

ในปี 2567 มีเป้าในการลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 20% จากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงสะสม เมื่อเทียบข้อมูลจากปีฐาน 2564 ลดลงไปแล้ว 14.81% และยังมีแนวทางการวางกรอบสู่เป้าหมายสูงสุดเพื่อเดินหน้าสู่องค์กรที่เป็น Net Zero Emission โดยคาดว่าแผนทั้งหมดจะเรียบร้อยภายในปี 2567

ส่วนของสังคม KCG เดินหน้าดูแลสังคมทั้งภายในและภายนอกองค์กรควบคู่กัน รวมถึงการสร้างองค์กรที่มีธรรมาภิบาลที่ดี โปร่งใส

จากการวางยุทธศาตร์และกลยุทธ์การตลาดอย่างแข็งแกร่งและสอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของปี 2566 สร้างสถิติเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีรายได้จากการขาย 7,157 ล้านบาท เติบโต 16.2% จากปีก่อนหน้า และทำกำไรสุทธิ 305.9 ล้านบาท เติบโต 26.9% จากปีก่อนหน้า

ล่าสุดได้วางแผนงานเพื่อสานต่อความสำเร็จก้าวต่อไป ภายใต้วิสัยทัศน์ “Transition Towards Sustainable Growth” “สร้างองค์กรสู่การเติบโตที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมสู่อนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลง” โดยกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาใน 2 มิติ ได้แก่ 1. ยุทธศาสตร์ด้านวัฒนธรรมองค์กร (Cultural Strategy) โดยยึดหลัก “Heart-driven – Expertise – Agile – Responsible – Teamwork” ด้วยความเชื่อมั่นว่าพนักงานเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะร่วมขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุสู่เป้าหมายสูงสุด

2. ยุทธศาตร์ทางธุรกิจ (Business Strategy) เพื่อบรรลุเป้าหมายสร้างอาณาจักรอาหารตะวันตก เนยและชีส ให้เติบโตมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้การขับเคลื่อน 7 แกนหลัก ได้แก่ 1.) มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ (Growth), 2.) การพัฒนาบุคลากร (People), 3.) การขับเคลื่ององค์กรด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Innovation Data & Tech), 4.) การขยายตลาดส่งออก (Export), 5.) ยกระดับศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าที่ทันสมัยและครบวงจร (Supply Chain & Inventory), 6.) ยกระดับการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติ (Production& Automation) และ 7.) การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Development)

จากพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ สร้าง 5 เมกะเทรนด์ในปี 2567 ได้แก่ 1. Health Beliefs เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย 2. Naturally Functional เทรนด์อาหารที่มีการพัฒนาสารเสริมเชิงหน้าที่จากธรรมชาติหรือมีการเติมวิตามินเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ 3. Weight Wellness เทรนด์อาหารสำหรับการดูแลรูปร่าง 4. Snackification เทรนด์นวัตกรรมอาหารว่างที่ทำให้สะดวกทานง่ายทุกที่และทุกเวลา และ 5. Sustainability เทรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโลก

KCG จึงกำหนดและวางกรอบการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาพและบริการใหม่ตามเทรนด์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและระดับโลก ในปี 2567-2572 เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถเจาะลึกถึงต้องการของผู้บริโภคกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน รวมถึงการต่อยอดสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งที่ทำจากนม (Dairy Products) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ได้ทำจากนม (Non-dairy) พร้อมทั้งร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและพันธมิตรบริษัทชั้นนำจากทั่วโลก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างเหมาะสม

ส่วนการลงทุนสร้าง ‘KCG Logistics Park’ หรือศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบครบวงจร บนพื้นที่ 15 ไร่ โดยนำเทคโนโลยีมาจัดเก็บผลิตภัณฑ์ของ KCG ซึ่งครอบคลุมทั้ง 3 อุณหภูมิ ทั้งระบบแช่แข็ง (Frozen) ระบบแช่เย็น (Chill) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) มาใช้ ทำให้สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เนยและชีสมีความสดใหม่ และนำเทคโนโลยีระบบ VMI (Vendor Managed Inventory) มาใช้เพื่อควบคุมระดับสต็อกและการส่งสินค้าให้ทันเวลาตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งช่วยให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฟสแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้

นอกจากนี้ ในด้านการผลิตได้มีการขยายกำลังผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ชีสในรูปแบบห่อเดี่ยว (Individually Wrapped Processed Cheese Slices หรือ IWS) เพิ่มขึ้นจากเดิม 2,106 ตันต่อปี เป็น 4,212 ตันต่อปี ไปเรียบร้อยแล้วในเดือนตุลาคมปี 2566 และอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตเนยจากเดิม 18,000 ตันต่อปี เป็น 23,000 ตันต่อปี ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2568

ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าปรับระบบการขนส่งสินค้าด้วยการเพิ่มสัดส่วนการใช้รถไฟฟ้าพลังงานสะอาด (EV Truck) โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% ของจำนวนรถขนส่งทั้งหมด เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่คุณค่าอย่างยั่งยืน

Happy
Happy
0 %
Sad
Sad
0 %
Excited
Excited
0 %
Sleepy
Sleepy
0 %
Angry
Angry
0 %
Surprise
Surprise
0 %

Average Rating

5 Star
0%
4 Star
0%
3 Star
0%
2 Star
0%
1 Star
0%

Leave a Reply

Next Post

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ชวนเครือข่ายปิดไฟ 1 ชม.

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ขานรับนโยบายชวนเครือข่ายปิดไฟ 1 ชม. เวลา 20.30 – 21.30 น. สนับสนุนกิจกรรม “ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน” ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

You May Like